29 ธันวาคม 2550

หนังน่าดู แล้วจะดูดีมั้ย

The science of sleep By Michael Gondry
vs
Dear Frankie By Shona Auerbach

ซื้อหนังมาดองไว้เกือบปี กองไว้เกือบสิบเรื่อง แต่ช่วงนี้จัดอันดับสองเรื่องแรกที่อยากดูคือ เรื่องแรก The science of sleep หนังของผู้กำกับ Michael Gondry จริงๆแล้วหมูหย็องติดใจความฉมังของการเขียนบทจาก Eternal Sunshine เลยต้องไปไขว่คว้าหาดีวีดีเรื่องนี้มาดู แต่ดูจากหน้าหนังแล้วท่าทางจะเพี้ยนกว่า Eternal หน่อยนึงหรืออาจจะเลยหน่อยไปเยอะก็ได้นะ เริ่มตั้งแต่ในโปสเตอร์ปรากฏภาพพระเอกขี่ตุ๊กตาม้าเหาะอยู่บนฟ้า มีนางเอกนั่งซ้อนท้าย หุๆ เลยยังไม่ค่อยแน่ใจว่าจะนั่งทนดูจนจบมั้ย ช่วงหลังมานี้ทนดูหนังเพี้ยนๆ ไม่ค่อยไหว ไม่รู้ทำไมแฮะ สงสัยจะแก่ ต่อมจินตนาการก็หดลงเรื่อยๆ



ส่วนเรื่องที่สอง เป็นดราม่า ไม่รู้ถึงขั้น เมโลดราม่าหรือไม่ เพราะพล็อตเรื่องมันเสริมให้ไปทางนั้นสุดๆ พระเอกหน้าหล่อ อย่าง Gerard Butler มารับบทพ่อจำเป็นค่ะ



เอาเป็นว่าถ้าได้ดูในวันสองวันที่หยุดยาวๆแบบนี้ จะเอามาเขียนคั่นแก้เลี่ยนเรื่องราวมาเก๊าก็แล้วกันนะคะ
มาเดากันดีกว่าว่าหมูหย็องจะหยิบเรื่องไหนขึ้นมาดูก่อน...

มาเก๊า... วันแรกรัก (ตอนสอง)

ตอน : มาเก๊า... วันแรกรัก (ตอนสอง)
ผู้นำทางอร่อย : หมูหย็อง
ผู้ชิมร่วม : หมูแผ่น


ต่อจากตอนที่แล้วนะจ๊ะ หลังจากนั่งรถเมล์ผิดฝั่ง และการหาโรงแรมในเขาวงกตผ่านพ้นไปแล้ว อย่างต่อไปที่จะทำก็คือ ไปเที่ยวตามที่แพลนไว้ค่ะ สำหรับวันนี้เป็นวันอากาศดีจริงๆ ถึงหมอกจะเยอะไปซักหน่อย แต่ก็มีลมหนาวพัดมาเป็นระลอกเลยทำให้หมูหย็องและหมูแผ่นยังสนุกที่จะออกไปเตร็ดเตร่นอกโรงแรมอยู่ โรงแรมที่เราพักมีเซเว่นหน้าโรงแรมด้วย ครั้งแรกที่เห็นเซเว่นเหมือนเห็นญาติฝั่งแม่กันเลยทีเดียว เพราะใจมันชื้นยังไงบอกไม่ถูก อิอิ
17 นาฬิกา เรากางแผนที่ แล้วตัดสินใจว่าจะเดินเท้าไปที่ Fisherman Wharf เป็นเป้าหมายแรก หมูหย็องคำนวณเองว่าเราน่าจะเดินเป็นระยะทางประมาณ 3 กม. เห็นจะได้ แต่ด้วยสภาพบ้านเมืองที่ต่างจากบ้านเรา สองข้างทางที่ล้วนเป็นสิ่งแปลกใหม่ ทำให้ 3 กม.ของเย็นวันนั้นช่างใกล้ซะเหลือเกิน

=== ถ่ายจากสะพานลอยที่เราข้าม ก่อนถึง Sand Casino ===
macauDay1.1

=== และนี่จ้ะ บ่อนสีท้องงงงทอง ===
macauDay1.2
ที่ Sand เป็นทั้งบ่อนและโรงแรม โดดเด่นด้วยสีแห่งสถาปัต ที่อร่ามเรือง ใครผ่านไปมาก็ต้องเหลือบมอง แล้วบ่นอุบว่า เฮ้ยไรแยงตากรูวะ หึๆ มองไปฝั่งตรงข้ามเราก็โล่งอกโล่งใจ เจอกันจนได้นะไอ้หนุ่มพายเรือ (แปลมั่วๆจาก fisherman whaft นั่นแหละ)

=== หมูแผ่น เหนื่อยจนลิ้นบิด ===
macauDay1.3

ที่นี่เป็นสถานที่ท่องเที่ยวของมาเก๊าเจ้าของเดียวกับ ลิสบัว คาสิโนที่ยิ่งใหญ่ในอดีต เค้าว่ากันมาว่าจุดประสงค์หลักที่สร้างที่นี่ขึ้นมา ไม่ได้หวังให้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวหรอกนะจ๊ะ แต่สร้างขึ้นเพื่อปิดกั้นไอ้ Sand ที่อยู่ด้านหลังนั่นแหละ เป็นหลักทางฮวงจุ้ยน่ะจ้ะ ด้วยเหตุนี้หรือเปล่าไม่ทราบเจ้าของSand เลยไปหาทำเลใหม่สร้าง venetien ที่โคไทโน่น(เป็นดินแดนที่มาเก๊าสร้างขึ้นจากการถมทะเล ระหว่างมาเก๊าและไทปา)ไม่แน่ใจว่าถ้ามีคนตามไปปิดฮวงจุ้ยอีก คุณเธอจะถมที่จนเชื่อมมาถึงเขมรเลยหรือไม่ ถ้าเกิดขึ้นจริง เซียนพนันไทยหลายคนคงยิ้มกันเลยทีเดียว หุๆ

Fisherman Whaft คล้ายๆกับเมืองโบราณบ้านเรา แต่ของเค้าจะเป็นการจำลองทั้งโลกโดยการแบ่งเป็นโซนเช่น โซนแรก ที่ี่ประกอบไปด้วยภูเขาไฟจำลอง ซึ่งเป็น landmark ของที่นี่สามารถขึ้นไปข้างบนมองวิวโดยรอบได้ นอกจากนั้นก็มีวังสมัยราชวงศ์ถัง ใกล้ๆกันเป็นวังของภูฏาณ ติดกันเป็นเสาโรมันวางเรียงราย ให้อารมณ์ของยุคกรีกโบราณ

=== หมูแผ่นกับร้านกาแฟเก๋น่ารัก ใกล้ๆกับภูเขาไฟจำลอง ได้แต่ยืนยิ้มหน้าร้าน เพราะว่ามัน closed แล้วจ้ะ ===
macauDay1.4

=== เดินกันจนฟ้าแดง สะพานซ้ายมือคือสะพานที่เรานั่งข้ามมาจากสนามบิน ===
macauDay1.5

=== เดินเลียบไหล่ภูเขา จะเจอมุมแบบนี้ ===
macauDay1.6

=== นี่ไงภูฏาณที่บอก มีฝรั่งมายืนงงๆให้เทียบสเกล ว่ามันเล็กกว่าของจริงเยอะแค่ไหน ===
macauDay1.7

เริ่มมืดแล้ว เราเขยิ่บเข้ามาอีกโซน เป็นโซนที่หมูหย็องเรียกว่า โซนไฮโซ โอ้โหเมกา อ่ะฮ๊ายุโรป เพราะมองไปทางไหนก็เต็มไปด้วยตึกที่ขนกันมาจากสองทวีปเลย ส่วนนี้เค้าใช้พื้นที่จำแลงเป็นช็อปปิ้งมอลล์ไปในตัว ชั้นล่างขายสินค้าแบรนด์เนม รวมถึงค็อฟฟี่ช็อปเท่ๆเก๋ๆ ให้พรึ่บ เป็นโซนที่หมูหย็องแนะนำเลยนะ แบบว่าอยากไปยุโรป แต่ยังไม่พร้อม(ยังไม่พร้อมเป็นคำสุภาพของคำนั้นนั่นแหละจ้ะ) ให้มาที่นี่แล้วเลือกร้านค็อฟฟี่ช็อปที่มีฝรั่งนั่งเยอะๆนะ ถ่ายรูปมาอวดเพื่อน โอยรับรองเพื่อนเชื่อแน่นอนว่าคุณไปซิ่งแถวๆสวิสมา คริๆ

=== มุมนี้ก็ดี ===
macauDay1.8

=== ตรอกนี้ก็แจ่ม มีโลโก้แดงๆของ Sand มาขโมยซีนซะง้าน===
macauDay1.9

=== ขวามือ เป็น Enso โซนเมกา ===
macau1.9

หลังจากการเดินชิวๆทั้งถ่ายวิว ถ่ายเดี่ยว ถ่ายคู่ ผ่านไปประมาณเกือบหนึ่งชม เราหยิบ info ที่ได้จากประตูมาดู เราก็เริ่มตระหนักว่า เฮ้ยทำไมมันกว้างงี้วะ ด้วยความงก(ทั้งๆที่ก็ไม่ได้เสียตังค์ค่าเข้าเล้ย)ทำให้เราจำเป็นต้องรีบเดินดุ่มๆเพื่อจะได้ไปให้ครบทุกโซน แล้วก็มาหอบแห่กๆอยู่โซนสุดท้ายแถวๆบาบิลอนคาสิโน และโรงแรมหิน(the rock hotel)

=== หน้าบาบิลอน สถาปัตยกรรมฝั่งแอฟริกา ===
macauDay1.10

=== หน้าโรงแรมหิน ===
macauDay1.11

The Rock hotel เป็นส่วนหนึ่งของ Fisherman ตรงจุดนี้มีรถไฟฟ้าไว้บริการนักท่องเที่ยว (เหมือนรถที่วิ่งในสวนจตุจักร)
ด้วยความหิวและเหนื่อย เราขึ้นไปนั่งอย่างไม่รอช้า ตอนนั้นเป็นเวลาหนึ่งทุ่มพอดีท้องเริ่มร้องจ๊อกๆๆ แผนที่ตั้งไว้ว่าจะหาอะไรทานที่นี่เกิดล้มเหลว เพราะร้านค้าน้อยใหญ่ต่างก็ปิดกันไปหมดแล้ว ที่ยังเปิดก็เป็นร้านที่หากินได้ในบ้านเรา เราสองคนเลยขอบาย และสุดท้ายอาหารมื้อแรกที่มาเก๊าของพวกเราก็ไปจบลงที่ food center ใน New Yaohan เป็นห้างเยื้องๆกับ Fisherman นั่นเอง ห้างนี้คนเยอะมากๆ ระหว่างชั้นต่างๆที่เราผ่าน(ฟู้ดอยู่ชั้น 5)เต็มไปด้วยคนทุกเพศทุกวัย และป้ายเซลล์ เซลล์ เซลล์ จนอดไม่ได้ที่จะคุยกับหมูแผ่นว่า เอ๊ะ นี่มันเทศกาลแห่งการเซลล์ รึเปล่านะ อะไรจะคึกจะคักปานฉะนี้ค๊า ชาวมาเก๊าทั้งหลาย
และด้วยสัญชาตญาณนักช็อปไทย เห็นจุดไหนคนมุงเยอะๆ หมูแผ่นก้เข้าไปมุงกับเค้าด้วยแล้วก็กลับออกมาด้วยสีหน้างงๆว่า เค้าแย่งอะไรกันว้า ไม่เห็นมีอะไรน่าสนเลย

ในฟู้ดเซนเตอร์ ถ้าอายจริงๆ หมูหย็องคงไม่กล้าบอกว่ากินอะไร เผอิญว่าหน้าด้านค่ะ บอกเลยละกันว่ามื้อแรกของพวกเราที่มาเก๊าี่คือชุดข้าวราดแกงกะหรี่ค่ะ เอ้า! อาหารญี่ปุ่นซะง้าน แน่ะๆอย่าเพิ่งดูถูกเรานะคะ เพราะว่ากะอีแค่ข้าวราดแกงกระหรี่เนี่ย ก็ต้องใช้วิทยายุทธขั้นสูงเหมือนกันน้า ไม่ใช่จะได้กินง่ายๆสำหรับคนที่ภาษาจีนไม่กระดิกอย่างพวกเรา อิอิ
ฟู้ดที่นี่เค้ามีกรรมวิธีการซื้อแบบนี้ค่ะ ก่อนอื่นเราก็ต้องไปเดินดูตามร้านว่าเราน่ะ อยากกินอะไร แล้วก็จำไว้ว่าไอ้จะกินน่ะรหัสอะไร หลังจากนั้นต้องเดินไปที่แคชเชียร์ค่ะ แล้วก็บอกรหัสแคชเชียร์ไป วิยายุทธบทที่ 1 ที่คุณต้องใช้ คือคุณต้องบอกเค้าให้ถูกเพราะเค้าจะพูดภาษาจีนใส่เราเท่านั้นทั้งๆที่หน้าเราก็ด้ำดำไท้ไทยออกจะปานนี้อ่ะนะ เมื่อพูดกับเค้าไม่รู้เรื่องเค้าก็จะยื่นปากกาให้คุณเขียนรหัสเองแหละค่ะ หมูหย็องใช้วิธีหลังค่ะ จดๆให้เค้าแล้วเค้าก็จดกลับมาว่าค่าอาหารเท่าไหร่ เราก็จ้ายเงินไป หลังจากนั้นคุณก้ไปนั่งรอค่ะ อาหารจานไหนเสร็จเค้าก็ประกาศออกไมค์เสียงดังฟังชัดค่ะ ชัดมากกกก แต่ฟังไม่รู้เรื่องตามเคยค่ะ แห่ะๆ หมูหย็องเลยใช้วิธีไปยืนรอหน้าร้านซะเลย ได้ผลค่ะ เราเห็นจานไหนคล้ายๆชุดที่เราสั่งไป เราก็รี่เข้าไปถามเลยค่ะว่าใช่ของเราเปล่าพร้อมกับยื่นใบเสร็จให้ดู อืมมมม กว่าจะได้กินมื้อแรกก็ยากเอาการแฮะ

เราสองคนกินด้วยกันในชุดเดียว ที่ได้มาทั้งข้าวหน้าแกงกะหรี่ ราเมนชามเล็กๆ มันบด แล้วก็โค้กอีกหนึ่งแก้ว เป็นอาหารมื้อที่ไม่ค่อยประทับใจนัก เลยกินแค่ให้พอประทังความหิวเท่านั้นเอง

ที่นิวเยาฮันนอกจากเราจะได้เจอกับเทศกาลเซลล์(รึเปล่าวะ) และได้กินอาหารแล้ว เรายังได้พบว่าแฟชั่นที่ฮิตมากของที่นี่ตอนนี้ก็คือ บู้ท บู้ท บู้ทเท่านั้นค่ะ ตั้งแต่สาวรุ่นยันสาวแก่ ก็ใส่บู้ท ทำเอาหมูแผ่นตะหงิดๆ คิดอยากจะซื้อบู้ทมาสวมเป็นเกือกสักคู่ แต่ก็เหมือนสวรรค์มาทรงโปรดเตือนหมูแผ่นว่า บู้ทมันใส่ได้เฉพาะที่นี่เท่านั้นนะจ๊ะ เอากลับมาใส่ที่บ้านเราคงเป็นที่โดดเด่น โดดเด้ง ไปตามระเบียบ คุณหมูแผ่นเลยไม่ได้บู้ทติดมือติดเท้ากลับมาด้วย

เอาล่ะ จุดหมายต่อไป และเป็นที่สุดท้ายสำหรับคืนนี้ก็คือ เซนาโด้สแควร์ ด้วยหวังว่าจะไปถ่ายแสงไฟยามค่ำคืนในแถบนั้นนั่นเอง เราขึ้นรถเมลล์จากหน้านิวเยาฮัน บนรถเมลล์หมูหย็องเหลือบไปเห็นสาวน้อยคนหนึ่งนั่งอ่านนิยายเป็นภาษาอังกฤษอยู่พอดี เลยหันไปถามน้องเค้าแบบโง่ๆว่าพูดภาษาอังกฤษได้มั้ยจ๊ะ น้องเค้าตอบไม่ลังเลเลยว่าได้แน่นอนสิจ๊ะคุณพี่ ไม่งั้นหนูจะอ่านนิยายรู้เรื่องหรอ(อันหลังนี่หมูหย็องเติมเองนะ)แล้วเราก็ถามว่าถ้าเราจะไปเซนาโด้นี่ควรจะลงป้ายไหน น้องเค้าบอกอย่างรวดเร็วพร้อมกับกดกริ่งให้เราเสร็จสรรพ โอ้ว น่ารักมากมาย ลงรถเมลล์เราก็เดินต่อไปนิดหน่อย เจอน้ำพุกะตึกเหลืองๆ ก้แน่ใจแล้วว่า ถึงแล้วเฟ้ย เซนาโด้ ฮุๆ

แล้วหมูหย็องก็เหลือบไปเห็นร้านบะหมี่ ที่คนในเวบหลายคนแนะนำ ก็เลยไม่รอช้ากะไปเติมกระเพาะให้เต็มกันที่ร้านนี้ น่าจะไม่ผิดหวังนะ

=== บะหมี่น้ำลูกชิ้นปลา ===
macauDay1.12

ร้านนี้อยู่ตรงข้ามแมคโดนัลด์ค่ะ หาไม่ยากเลย เดินผ่านน้ำพุเข้ามา ร้านจะอยู่ซ้ายมือ ตกแต่งสไตล์จีนโบราณ ได้บรรยากาศ และที่สำคัญมีเมนูแสดงถึงความโกอินเตอร์ของร้านเป็นภาษาจีนควบอังกฤษด้วยนะจะบอกให้ หน้าตาของบะหมี่ที่เอามาเสิร์ฟน่ากินมาก น้ำใสแต่หอมหวลชวนซด ลูกชิ้นปลาปั้นเป็นก้อนๆเหมือนไม่ตั้งใจ แต่เคี้ยวแล้วได้ความรู้สึกเหนียวหนึบๆของเนื้อปลา หมูหย็องลองคนๆดูในชามไม่มีผักมาให้เลยแฮะ เข้าใจว่าคงเป็นแบบนี้เหมือนกันทั้งทางฝั่งมาเก๊าและฮ่องกง ทุกอย่างโอเค เริ่ดมาก ตามที่บรรยายมานั่นแหละค่ะแต่ด้วยความที่เราเหนื่อยมากกก เลยทำให้กินไปได้ประมาณครึ่งชาม ก็ต้องหยุดกินซะแล้ว ต้องบอกหมูแผ่นไปว่า เดี๋ยวมาลองกินใหม่อีกรอบนะ วันนี้สงสัยจะเหนื่อยเกินไป เลยกินไม่ลง หมูแผ่นก็ได้แต่พยักหน้างึกๆๆ พร้อมกับบะหมี่ที่เหลืออยู่ครึ่งชามเหมือนกัน เลยเป็นที่รู้กันว่า เราสองคนมีอาการคล้ายๆกัน

อิ่มแล้วเราเดินถ่ายรูปแถวนั้นพักใหญ่ ขณะนั้นก็ราวสามทุ่มกว่าๆแต่ยังมีผู้คนให้เห็นเป็นกลุ่มๆ นั่งกันอย่างสบายอารมณ์ หมูหย็องเริ่มสัมผัสได้ถึงคำที่มีคนเคยพูดถึงมาเก๊าว่า เป็นเมืองที่ไม่มีวันหลับไหล ได้ก็ในวินาทีนั้นเอง

=== กรุณาอย่ามองที่เสาด้านล่างซ้ายค่ะ ไม่สุภาพ คริๆ ===
macauDay1.13

=== ร้านปิดเกือบหมดแล้ว แต่ไฟยังสว่างไสว คนก็ยังขวั่กไขว่ ===
macauDay1.15

สี่ทุ่มแล้ว เรี่ยวแรงก็ค่อยๆหมดลงไปตามการใช้งาน เราออกจากเซนาโด้แล้วเดินไปขึ้นรถเมลล์กลับโรงแรม

=== มุมยอดฮิต (ฮิตทั้งช่างภาพ และคนแถวๆนั้น) รูปสุดท้ายของวันแรก ===
macauDay1.14

สำหรับการเที่ยวมาเก๊าวันแรก ตั้งแต่เช้าตรู่ที่เมืองไทย ทุลักทุเลหลงทางไปถึงด่านกงเป่ย การเดินชิวๆรวมระยะทางได้เป็นสิบกม จนถึงการสั่งอาหารที่หลายขั้นตอนกว่าจะได้เอาอาหารเข้าปาก
พอจะสรุปหลักเล็กๆน้อยๆ ได้เป็นข้อๆสำหรับคนที่คิดจะไปเที่ยวเองแบบหมูหย็องได้ดังนี้ค่ะ
1.แอร์เอเชีย เปิดเคาเตอร์เช็คอินไฟล์แรกของวัน ช้าไปนิด ถ้าใครไปถึงสนามบินเร็วก็ไปหาอะไรทานก่อนได้ค่ะ แล้วก่อนบอร์ดดิ้งซักชมครึ่ง ค่อยเช็คอิน
2.จากเมืองไทยให้หาขนมอะไรก็ได้ติดใส่กระเป๋าไปด้วยนะจ๊ะ เพราะพอเราถึงที่โน่นแล้วหากผิดแผน ผิดเวลา แล้วเกิดหิวขึ้นมา จะได้กินขนมที่เราเตรียมไว้รองท้องไปก่อน ไม่ต้องทนหิวเหมือนหมูหย็องกะหมูแผ่น
3.คงเพราะอากาศเย็นพระอาทิตย์ที่มาเก๊าเลยตกไวกว่าบ้านเรา (ประมาณ 17.30น ฟ้าจะมืดแล้ว) ถ้าจะไปเที่ยวถ่ายภาพอย่างเดียวที่ Fisherman Warf ให้ออกมาสวยงาม อร่ามนภา ควรจะเลือกช่วงเวลาที่ฟ้ากำลังโพล้เพล้ ประมาณ 16.00 - 17.30น น่าจะเวิร์คสุดๆเลยล่ะ
4.Fisherman Warf กว้างมากถ้าหากอยากจะชมให้ครบถ้วน รวมถึงเข้าชมในส่วนต่างๆที่เป็นอินดอร์ควรจะมีเวลาให้ที่นี่ตั้งแต่ช่วงบ่ายจนถึงเย็น จะได้ไม่รีบเร่งจนเกินไปนะจ๊ะ หรือถ้าใครมีเวลาน้อยมากแค่ชั่วโมงเดียว หมูหย็องแนะนำว่าให้นั่งรถชมรอบๆ สะดวกและสบายที่สุดจ้ะ
5.ศึกษาเส้นทางรถเมลล์ให้ถี่ถ้วน ฝึกอ่านป้ายรถเมลล์ให้เป็น เพราะที่มาเก๊ารถเมลล์บางสายมันจะวิ่งแปลกๆ ทำเอาเราหลงทางได้ (แน่ะ โทษรถเมลล์ซะง้าน) รถเมลล์มีหลายสายและมาถี่ๆ ดังนั้นคุณไม่ต้องรีบขึ้น ให้ยืนเล็งไว้ก่อน เพราะเมื่อใดที่ขึ้นปุ๊บคุณก็ต้องหยอดเงินลงกระปุกปั๊บนะคะ

สำหรับวันแรกก็เอร็ดอร่อยไปตามประสาขามั่ว ตอนต่อไปจะเป็นเรื่องของวันที่สอง กับเกาะโคโลอานที่สุดแสนจะประทับใจและการเดินโต๋เต๋ๆที่ไทปาอีกแล้วคับท่าน อย่าลืมตามไปอ่านต่อนะจ๊ะ บั๋ย บัย
อ้อ ใครอ่านมาถึงบรรทัดนี้ ก็ตามธรรมเนียมนะคะ ช่วยเขียนเมนท์ให้นิดส์นึง จะได้มีกำลังจายกำลังกาย เขียนต่อไปน่ะ ทาเคชิ !
ขอบคุณล่วงหน้าจ้า

22 ธันวาคม 2550

มาเก๊า... วันแรกรัก (ตอนแรก)

ตอน : มาเก๊า... วันแรกรัก (ตอนแรก)
ผู้นำทางอร่อย : หมูหย็อง
ผู้ชิมร่วม : หมูแผ่น


จั่วหัวซะหวานเลย แต่อย่าคาดหวังว่าเนื้อความข้างในจะหวานตามที่จั่วไว้นะจ๊ะ
การเดินทางของหมูหย็องเริ่มขึ้นตั้งแต่เวลา 6.00 am ของวันที่ 6 พย. กระเป๋าที่จัดเตรียมไว้ และของต่างๆที่จำเป็นในการเดินทาง (เดี๋ยวจะแยกไว้เป็นอีกหัวข้อนะเผื่อใครขี้เกียจคิดว่าจะเอาอะไรไปมั่ง เวลาเดินทาง)
ถูกวางไว้และเหมือนมันจะยิ้มให้พร้อมกับบอกว่า อ่ะดิชั้นพร้อมแล้ว พร้อมให้คุณหมูหย็องลากถูลู่กังไปด้วย ณ บัดนาวว์

เราสองคน พร้อมด้วยกระเป๋าใบเขื่อง(หวังว่าคงเป็นคำสุภาพนะคะ) กระเป๋ากล้องและกระเป๋าสัมภาระน้อยๆอีกหนึ่งใบ ออกเดินทางจากบ้านตอน 7.00 am และไปโผล่ที่สุวรรณภูมิ เวลา 7.30 am
ด้วยความที่คุณหมูแผ่น เพื่อนร่วมทริป อยากไปเตร่ใน duty free เลยพยายามจะเผื่อเวลาให้ได้มากที่สุด แต่ว่าอนาจยิ่งที่เราถ่อมาแต่เช้าเพื่อที่จะมารับรู้ว่าแอร์เอเชีย ยังมิเปิดเคาเตอร์เชคอินค่ะคุณ
ทีนี้เอาไงดี มิเป็นไรค่ะ เราสองคนไปหาอะไรรองท้องก่อนก็ล่าย ปัดโถ่เฟ้ย เราสองคนไปนั่งกระเดือกอาหารเช้า(ตรู่ ) ที่ S&P เป็นเวลาเกือบๆชม ก่อนที่จะมาพบว่าที่เคาเตอร์แอร์เอเชียตอนนี้แน่นขนัดไปด้วยหัวดำหัวแดงเต็มไปหม้ดดด
เสียเวลาที่เคาเตอร์และตม อีกประมาณครึ่งชม คุณหมูแผ่นก็เสร็จสมอารมณ์หมาย ณ Duty free นั่นเอง ไปโฉบเอา Bobby Brown มาสองเซ็ท อย่างรวดเร็ว

ตัดภาพมาที่หนามบินมาเก๊าเลยนะจ๊ะ เกาะมาเก๊าวันนั้นเต็มไปด้วยหมอกหนาที่ปกคลุมไปเสียตั้งแต่น่านน้ำ จนถึงตึกรามบ้านช่อง ตอนลงจากเครื่องหมูหย็องเลยได้สัมผัสลมหนาวที่สุดยะเยือก นั่นคือความอิ่มเอมแรกที่พบเจอ ณ เกาะแห่งนี้ (หึๆ นี่แหละอากาศที่อยากเจอ)เดินกระย๊องกระแย๊งฝ่าลมหนาวเข้า terminal และสิ่งที่หมูหย็องมองหาเป็นที่แรก หลังหลุดจาก ตม แล้วก็คือที่แลกเงิน เพราะเราต้องใช้เหรียญมาเก๊าในการจ่ายค่ารถเมล์ ครั้นจะใช้แบงค์ 500 จ่ายก็กระไรอยู่เพราะรถเมล์ที่นี่เป็นแบบหยอดเงินเข้ากระปุก ดังนั้นเลยไม่มีใครมาคอยแง๊บๆทอนตังค์ให้เหมือนรถเมล์บ้านเรา
หลังจากแตกแบงค์ 500 dollas Hongkong เป็นแบงค์ย่อยๆและหรียญอีกจำนวนนึงแล้ว หมูหย็องเลือกวิธีนั่ง AP1 ซึ่งวิ่งจากสนามเข้าสู่ตัวเมืองมาเก๊า (สนามบินอยู่เขตไทปา) ใช้เวลาในการนั่งAP1 ประมาณ 15 นาทีเห็นจะได้หมูหย็องกะหมูแผ่นก็มายืนชะเง้อแลหารถเมล์เพื่อต่อไปยังโรงแรม และแล้วเราก็เจอรถเมล์สายที่เราเล็งกันไว้ พวกเราวิ่งขึ้นไปนั่งด้วยความมั่นใจ ระหว่างทางก็ชมทัศนียภาพพร้อมกับการใช้สมองซีกขวาซีกซ้ายกับการ จำๆๆๆๆๆ จำสองข้างทางไว้ให้ได้มากที่สุด เผื่อได้ใช้ประโยชน์ไง(คิดในใจ) ป้ายรถเมล์ที่เราคาดหวังว่าจะเจอเพื่อกดออดให้รถจอดนั้น ทำไมมันหายากหาเย็นนัก(วะ) คนในรถเมล์คนแล้วคนเล่าขึ้นมา และลงไป ขึ้นมาและลงไป แต่เราสองคนก็ยังไม่ได้ลงกะเค้าเสียที ความมั่นใจที่มีเริ่มลดลงไปประมาณ 38.99% และแล้วมันก็เหลือ 0 % จนได้ เพราะว่ารถเมล์คันที่เรานั่งนั้นมันสุดสายที่ด่านกงเป่ยและเราก็ต้องลงซะแหล่ว แป๊วๆๆๆ ทำไงดี ก็กางแผนที่สิคะคุณ เดินโต๋ๆเต๋ๆ ไปเจอคนไทยคู่นึง ก็ช่วยเราไม่ได้ เพราะเค้าก็เพิ่งเคยมาที่นี่ครั้งแรกเหมือนกัน ตอนแรกเราตัดสินใจจะนั่งรถแท๊กซี่ให้ไปส่งที่โรงแรมซะเลย แต่ด้วยความงก เราเปลี่ยนใจกระทันหันเอาตัวออกจากแถวที่คนเป็นร้อยยืนรอแทีกซี่ แล้วก็เดินกลับไปที่อู่รถพร้อมกับมองป้ายรถเมลล์สายต่างๆ เราเลือกรถเมลล์ได้หนึ่งสายและยอมเสี่ยงขึ้นไปนั่งอีกครั้ง คราวนี้รถเมลล์ที่เรานั่งเป็นสายที่ฮ็อตฮิตพอสมควรดูจากปริมาณของคนบนรถนะ สบโอกาสหมูหย็องก็กางแผนที่ออกมาแล้วถามคนข้างๆเป็นภาษาอังกิดว่าจะไปที่โรงแรมนี้ ถนนเส้นนี้ได้อย่างไร ต้องลงป้ายไหน เจ๊ก็สุดแสนจะใจดีรีบมองตามแผนที่ที่หมูหย็องชี้ และสปี๊คกลับมาด้วยภาษาที่คุ้นเคย ล่ง เฉี่ยว หยาง สวี่ โหว่ เล่ย xxxxxxxxx ใช่แล้วภาษาคุ้นเคยของคนแถวนั้น แต่สำหรับหมูหย็องกับหมูแผ่นนี่ มึนตึ๊บไปเลย เจ๊เค้าก็พยายามมากเลยนะที่จะช่วยเราสองคน ด้วยวิธีที่หนึ่งคือ เจ๊เค้าโทรไปถามเพื่อนประมาณว่าขอตัวช่วยอ่ะนะ แต่เหมือนว่าเพื่อนเค้าก็ช่วยไม่ได้ และวิธีที่สองซึ่งได้ผลมากคือเจ๊เค้าเอาคำถามของเราไปถามคนบนรถเมลล์ซะเลย (อู้ว ยอดๆ) มีแม่นางหนึ่งบอกว่าจะไปลงที่เดียวกับที่เราจะลงอ่ะแหละ ดังนั้นให้ตามเค้าไป โอเค หมูหย็องโล่งอกขึ้นมา 50% ง่ายดีเว้ย ไม่หลงแน่ถ้าคุณหล่อนก้าวปุ๊บ ดิชั้นจะก้าวตามค่ะ หุๆ อีก 50% คิดในใจว่ามันเต็มใจพาตรูไปเปล่าวะเนี่ย หน้าเป็นจวักเลย หึๆ แต่มันอาจจะเป็น Symbol of her face ก็ได้นะ อย่าไปคิดมากเลยไอ้หมูหย็อง

ตัดกลับมาที่ป้ายรถเมลล์ที่เราลงแถวๆโรงแรม ส่วนแม่นางหน้าจวักพอส่งเราแล้วก็รีบเดินหนีไปเลย ฮ่าๆ เรากางแผนที่อีกรอบก็ยังงงๆกับเส้นทางแถวนั้นอยู่ เล็งตัวช่วยหนึ่งคนแล้วเดินเข้าไปพร้อมแผนที่ แล้วเราก็เล็งไม่ผิดตัวแฮะ เธอพูดอังกฤษได้ดีมาก บอกเส้นทางเดินให้เรา พร้อมกับถ่อมตัวว่า ต้องขอโทษด้วยที่เธออธิบายเส้นทางให้ไม่แจ่มชัดเท่าไหร่ เพราะภาษาอังกฤษของเธอนั้นยังไม่ค่อยดีเท่าไหร่ อืม น่ารักมากๆเลยแฮะ

เราเดินวนหาโรงแรมอีกประมาณ 15 นาทีและในที่สุดก็ได้เช็คอิน พร้อมกับมองนาฬิกาที่ปรับเวลามาจากสนามบินซึ่งบอกเวลาที่ 4.00 pm เป็นอันว่าเราเสียเวลาในการหลงทางอยู่ประมาณ 1 ชมแน่ะ (อู้ แม่เจ้า) แต่สองอย่างที่ได้รับรู้ในวันนี้ก็คือ 1. ให้ดูแผนที่และป้ายรถเมลล์ในมาเก๊าเอาไว้ให้ดี เพราะรถเมล์ที่นี่บางสายจะวิ่งวนเป็นวงกลม หรืออาจจะวิ่งสวนทางไปกลับก็ได้
และ 2. คนที่นี่ใจดีมาก ถึงแม้จะพูดอังกฤษได้บ้าง ไม่ได้บ้าง ก็เต็มใจจะช่วยนักท่องเที่ยวอย่างเราเสมอ ขอบคุณนะคะ

ตอนหน้าจะพูดถึงที่ท่องเที่ยวที่เราไปเดินเล่นหลังจาก เจอโรงแรมแล้ว ติดตามได้นะจ๊าาาาา

18 ธันวาคม 2550

...ที่บิน...ที่นอน...และวันแห่งการรูดปรื้ดๆ

macau3Cover

ตอน : ...ที่บิน...ที่นอน...และวันแห่งการรูดปรื้ดๆ
ผู้นำทางอร่อย : หมูหย็อง
ผู้ชิมร่วม : หมูแผ่น


ยินดีต้อนรับ สำหรับคนที่ข้ามบันไดงูมาได้สำเร็จ และคนที่หลงเข้ามาพร้อมกับความงงงวยว่าที่นี่ มันหนแห่งใดหนอ อยากรู้คำตอบไวๆ ก็ไปทางลัดตรงนี้
หรือถ้าไม่รีบร้อน ก็ลองไปกะหมูหย็องก่อน คำตอบอยู่ลิบๆตรงโน้นนนนนนน แน่ะ :P

เราออกเดินทางจากกทม วันที่ 6 พย กำหนดกลับวันที่ 8 พย นั่นหมายถึงว่าเรามีเวลาที่มาเก๊า 3 วัน 2 คืนบนเกาะเล็กๆแห่งนั้น
เราสองคนเป็นคนที่วางแผนล่วงหน้าเสมอ แต่คราวนี้วางล่วงหน้านานมาก นั่นคือเราถ่อสังขารไปจองตั๋วแอร์เอเชียร์ช่วงโปรโมชั่น 399 บาท ตั้งแต่เดือนมิย 2007 เอ่อ..ล่วงหน้าครึ่งปีเนี่ยนะเธอ :P พวกเราไปกันวันสุดท้าย ประสาคนไม่เคยไปแย่งต่อคิวซื้อตั๋วแบบนี้ ก็กระหยิ่มในใจว่าเฮ้ย กรูอยู่ 10 คนแรกเลยเว้ย เจ๋งๆ ดึงเครื่องคิดเลขในหัวออกมา อื้อหือค่าตั๋วถูกโคตร และแล้วเมื่อได้เวลาบุ๊คไฟลท์ เราก็แจ้งพนักงานว่าไปวันที่ 9 ตค กลับวันที่ 11 ตคค่ะพนักงานก็ได้แต่ส่ายหน้าบอกว่า วันที่คุณเลือกไม่ได้ร่วมโปรโมชั่นนี้ค่ะ เราก็ย้ายวันไปเรื่อยๆ พนักงานเองก็ส่ายหน้าจนคอเคล็ด ไฟล์เต็มบ้าง ไม่ร่วมโปรบ้าง ฮ่วย!อีหยังหว่า เราสองคนหันหน้ามองกัน สบตาปิ๊งๆๆ แล้วก็ตกลงกันทางสายตาว่า โอเคค่ะงั้นไปวันไหนก็ได้ 3 วัน 2 คืน แบบราคาดีที่สุดในตอนนี้น่ะ ท้ายสุดสุดท้ายเราก็ได้ตั๋วราคาขาไป 699 และ ขากลับ 999(วันไปกลับ ตามข้างบน)เออ พวกคุณเมิงจะถ่อกันไปต่อคิวทำมายเนี่ย
แต่มองโลกให้ดี คิดในแง่ดีก็คือเป็นเรื่องดีมากๆสำหรับเราสองคน ที่ชอบอากาศเย็นๆ เพราะในวันที่เราไปอากาศที่โน่นน่าจะอยู่ที่ประมาณ 16 - 22 องศาเซลเซียส (ไม่มีลม 22 ถ้ามีลมก็ลดลงเหลือ 16)
ปล.จับตาดูอุณหภูมิทั่วโลกได้ที่นี่ www.wunderground.com


สรุปว่าเงินที่ต้องจ่ายให้เจ้าปีกแดงในวันที่จองตั๋วรวมเบ็ดเสร็จก็คือคนละ 4100 นิดๆ เกินงบประมาณที่หมูหย็องคิดไว้เล็กน้อย (วันหลังมีโปรโมชั่นแบบนี้ ต้องจำเอาไว้ว่าต้องไปวันแรกนะหนู)แต่ก็โอเค ยอมรูดค่ะ ขอแค่มีตั๋วมากอดไว้ก่อน จะได้สบายใจ กรูได้ไปแน่ๆ หึๆ

พอหาาตั๋วเสร็จภาระอันหนักอึ้งอีกอันก็ตามมา นั่นคือหาที่ซุกหัวนอน หมูหย็องก็เข้าเวบพี่ๆทั้งหลาย ทั้งพี่ไทยพี่หรั่ง สุดท้าย ไปป๊ะเข้ากับเวบที่ราคาห้องสุดแสนจะซุปเปอร์ชี้พพพพ ที่นี่ห่ะ www.hoteltravel.com
มีเบอร์ติดต่อในไทยด้วย(ภูเก็ต) และสุดท้ายหมูหย็องก็รูดปรื้ดๆ จองไว้ในราคาดอลล่าส์ซึ่งค่าเงินตอนนั้น คิดเป็นเงินไทยก็ประมาณ 3800 บาท (สองคืน) ได้โรงแรมชื่อ Metro Park (โปรดจำชื่อโรงแรมนี้ไว้ให้ดีนะห๊า)
แต่ว่าสุดท้ายหมูหย็องต้องจ่ายไปในราคา 4200 บาท เนื่องจากค่าเงินไทยมันดันมาอ่อนตัวตอนที่ตัดบัตรเครดิตพอดีอ่ะเดะ เซ็งเลย (ตัดยอด 22 ตค) ต้องจำใจคอนเฟิร์มให้มันตัดยอดไป เพราะขี้เกียจหาโรงแรมใหม่ภายในเวลาหนึ่งสัปดาห์ และถ้าไม่ได้ที่ซุกกบาลนี่ซวยเลยคับท่าน หมูแผ่นต้องมาตบกบาลหมูหย็องตายแน่ หึๆคิดแล้วฉะหยอง

++++++++ สรุปค่าใช้จ่ายหลัก คือตั๋วเครื่องบินและที่พัก รวมทั้งหมด "8300" บาท (รวมสองคน) +++++++++

เราได้ตั๋ว และคอนเฟิร์มที่พักแล้วนะ
คราวหน้า หมูหย็องจะพาไปดูการเดินทางวันแรกที่สึกระทุด (สุดระทึก น่ะแหละ)
แล้วเจอกันนะคะ

ใครอ่านมาถึงบรรทัดนี้ ตามธรรมเนียมของที่นี่ ช่วยเขียนเมนท์ให้นิดส์นึง ดีไม่ดียังไง จะได้นำไปปรับปรุง หรืออยากจะให้มีส่วนไหนเพิ่มเติม ถ้าพอจะเขียนได้ก็จะมั่วๆมาลงให้นะเครอะ ใครขี้เกียจเขียน ก็แค่ส่งหน้าอมยิ้มมาก็พอละ จะได้มีกำลังใจเขียนต่อไปนะค้าบบ! แต๊งกิ้วล่วงหน้าจ้า