ตอน : มาเก๊า... วันแรกรัก (ตอนสอง)
ผู้นำทางอร่อย : หมูหย็อง
ผู้ชิมร่วม : หมูแผ่น
ต่อจากตอนที่แล้วนะจ๊ะ หลังจากนั่งรถเมล์ผิดฝั่ง และการหาโรงแรมในเขาวงกตผ่านพ้นไปแล้ว อย่างต่อไปที่จะทำก็คือ ไปเที่ยวตามที่แพลนไว้ค่ะ สำหรับวันนี้เป็นวันอากาศดีจริงๆ ถึงหมอกจะเยอะไปซักหน่อย แต่ก็มีลมหนาวพัดมาเป็นระลอกเลยทำให้หมูหย็องและหมูแผ่นยังสนุกที่จะออกไปเตร็ดเตร่นอกโรงแรมอยู่ โรงแรมที่เราพักมีเซเว่นหน้าโรงแรมด้วย ครั้งแรกที่เห็นเซเว่นเหมือนเห็นญาติฝั่งแม่กันเลยทีเดียว เพราะใจมันชื้นยังไงบอกไม่ถูก อิอิ
17 นาฬิกา เรากางแผนที่ แล้วตัดสินใจว่าจะเดินเท้าไปที่ Fisherman Wharf เป็นเป้าหมายแรก หมูหย็องคำนวณเองว่าเราน่าจะเดินเป็นระยะทางประมาณ 3 กม. เห็นจะได้ แต่ด้วยสภาพบ้านเมืองที่ต่างจากบ้านเรา สองข้างทางที่ล้วนเป็นสิ่งแปลกใหม่ ทำให้ 3 กม.ของเย็นวันนั้นช่างใกล้ซะเหลือเกิน
=== ถ่ายจากสะพานลอยที่เราข้าม ก่อนถึง Sand Casino ===
=== และนี่จ้ะ บ่อนสีท้องงงงทอง ===
ที่ Sand เป็นทั้งบ่อนและโรงแรม โดดเด่นด้วยสีแห่งสถาปัต ที่อร่ามเรือง ใครผ่านไปมาก็ต้องเหลือบมอง แล้วบ่นอุบว่า เฮ้ยไรแยงตากรูวะ หึๆ มองไปฝั่งตรงข้ามเราก็โล่งอกโล่งใจ เจอกันจนได้นะไอ้หนุ่มพายเรือ (แปลมั่วๆจาก fisherman whaft นั่นแหละ)
=== หมูแผ่น เหนื่อยจนลิ้นบิด ===
ที่นี่เป็นสถานที่ท่องเที่ยวของมาเก๊าเจ้าของเดียวกับ ลิสบัว คาสิโนที่ยิ่งใหญ่ในอดีต เค้าว่ากันมาว่าจุดประสงค์หลักที่สร้างที่นี่ขึ้นมา ไม่ได้หวังให้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวหรอกนะจ๊ะ แต่สร้างขึ้นเพื่อปิดกั้นไอ้ Sand ที่อยู่ด้านหลังนั่นแหละ เป็นหลักทางฮวงจุ้ยน่ะจ้ะ ด้วยเหตุนี้หรือเปล่าไม่ทราบเจ้าของSand เลยไปหาทำเลใหม่สร้าง venetien ที่โคไทโน่น(เป็นดินแดนที่มาเก๊าสร้างขึ้นจากการถมทะเล ระหว่างมาเก๊าและไทปา)ไม่แน่ใจว่าถ้ามีคนตามไปปิดฮวงจุ้ยอีก คุณเธอจะถมที่จนเชื่อมมาถึงเขมรเลยหรือไม่ ถ้าเกิดขึ้นจริง เซียนพนันไทยหลายคนคงยิ้มกันเลยทีเดียว หุๆ
Fisherman Whaft คล้ายๆกับเมืองโบราณบ้านเรา แต่ของเค้าจะเป็นการจำลองทั้งโลกโดยการแบ่งเป็นโซนเช่น โซนแรก ที่ี่ประกอบไปด้วยภูเขาไฟจำลอง ซึ่งเป็น landmark ของที่นี่สามารถขึ้นไปข้างบนมองวิวโดยรอบได้ นอกจากนั้นก็มีวังสมัยราชวงศ์ถัง ใกล้ๆกันเป็นวังของภูฏาณ ติดกันเป็นเสาโรมันวางเรียงราย ให้อารมณ์ของยุคกรีกโบราณ
=== หมูแผ่นกับร้านกาแฟเก๋น่ารัก ใกล้ๆกับภูเขาไฟจำลอง ได้แต่ยืนยิ้มหน้าร้าน เพราะว่ามัน closed แล้วจ้ะ ===
=== เดินกันจนฟ้าแดง สะพานซ้ายมือคือสะพานที่เรานั่งข้ามมาจากสนามบิน ===
=== เดินเลียบไหล่ภูเขา จะเจอมุมแบบนี้ ===
=== นี่ไงภูฏาณที่บอก มีฝรั่งมายืนงงๆให้เทียบสเกล ว่ามันเล็กกว่าของจริงเยอะแค่ไหน ===
เริ่มมืดแล้ว เราเขยิ่บเข้ามาอีกโซน เป็นโซนที่หมูหย็องเรียกว่า โซนไฮโซ โอ้โหเมกา อ่ะฮ๊ายุโรป เพราะมองไปทางไหนก็เต็มไปด้วยตึกที่ขนกันมาจากสองทวีปเลย ส่วนนี้เค้าใช้พื้นที่จำแลงเป็นช็อปปิ้งมอลล์ไปในตัว ชั้นล่างขายสินค้าแบรนด์เนม รวมถึงค็อฟฟี่ช็อปเท่ๆเก๋ๆ ให้พรึ่บ เป็นโซนที่หมูหย็องแนะนำเลยนะ แบบว่าอยากไปยุโรป แต่ยังไม่พร้อม(ยังไม่พร้อมเป็นคำสุภาพของคำนั้นนั่นแหละจ้ะ) ให้มาที่นี่แล้วเลือกร้านค็อฟฟี่ช็อปที่มีฝรั่งนั่งเยอะๆนะ ถ่ายรูปมาอวดเพื่อน โอยรับรองเพื่อนเชื่อแน่นอนว่าคุณไปซิ่งแถวๆสวิสมา คริๆ
=== มุมนี้ก็ดี ===
=== ตรอกนี้ก็แจ่ม มีโลโก้แดงๆของ Sand มาขโมยซีนซะง้าน===
=== ขวามือ เป็น Enso โซนเมกา ===
หลังจากการเดินชิวๆทั้งถ่ายวิว ถ่ายเดี่ยว ถ่ายคู่ ผ่านไปประมาณเกือบหนึ่งชม เราหยิบ info ที่ได้จากประตูมาดู เราก็เริ่มตระหนักว่า เฮ้ยทำไมมันกว้างงี้วะ ด้วยความงก(ทั้งๆที่ก็ไม่ได้เสียตังค์ค่าเข้าเล้ย)ทำให้เราจำเป็นต้องรีบเดินดุ่มๆเพื่อจะได้ไปให้ครบทุกโซน แล้วก็มาหอบแห่กๆอยู่โซนสุดท้ายแถวๆบาบิลอนคาสิโน และโรงแรมหิน(the rock hotel)
=== หน้าบาบิลอน สถาปัตยกรรมฝั่งแอฟริกา ===
=== หน้าโรงแรมหิน ===
The Rock hotel เป็นส่วนหนึ่งของ Fisherman ตรงจุดนี้มีรถไฟฟ้าไว้บริการนักท่องเที่ยว (เหมือนรถที่วิ่งในสวนจตุจักร)
ด้วยความหิวและเหนื่อย เราขึ้นไปนั่งอย่างไม่รอช้า ตอนนั้นเป็นเวลาหนึ่งทุ่มพอดีท้องเริ่มร้องจ๊อกๆๆ แผนที่ตั้งไว้ว่าจะหาอะไรทานที่นี่เกิดล้มเหลว เพราะร้านค้าน้อยใหญ่ต่างก็ปิดกันไปหมดแล้ว ที่ยังเปิดก็เป็นร้านที่หากินได้ในบ้านเรา เราสองคนเลยขอบาย และสุดท้ายอาหารมื้อแรกที่มาเก๊าของพวกเราก็ไปจบลงที่ food center ใน New Yaohan เป็นห้างเยื้องๆกับ Fisherman นั่นเอง ห้างนี้คนเยอะมากๆ ระหว่างชั้นต่างๆที่เราผ่าน(ฟู้ดอยู่ชั้น 5)เต็มไปด้วยคนทุกเพศทุกวัย และป้ายเซลล์ เซลล์ เซลล์ จนอดไม่ได้ที่จะคุยกับหมูแผ่นว่า เอ๊ะ นี่มันเทศกาลแห่งการเซลล์ รึเปล่านะ อะไรจะคึกจะคักปานฉะนี้ค๊า ชาวมาเก๊าทั้งหลาย
และด้วยสัญชาตญาณนักช็อปไทย เห็นจุดไหนคนมุงเยอะๆ หมูแผ่นก้เข้าไปมุงกับเค้าด้วยแล้วก็กลับออกมาด้วยสีหน้างงๆว่า เค้าแย่งอะไรกันว้า ไม่เห็นมีอะไรน่าสนเลย
ในฟู้ดเซนเตอร์ ถ้าอายจริงๆ หมูหย็องคงไม่กล้าบอกว่ากินอะไร เผอิญว่าหน้าด้านค่ะ บอกเลยละกันว่ามื้อแรกของพวกเราที่มาเก๊าี่คือชุดข้าวราดแกงกะหรี่ค่ะ เอ้า! อาหารญี่ปุ่นซะง้าน แน่ะๆอย่าเพิ่งดูถูกเรานะคะ เพราะว่ากะอีแค่ข้าวราดแกงกระหรี่เนี่ย ก็ต้องใช้วิทยายุทธขั้นสูงเหมือนกันน้า ไม่ใช่จะได้กินง่ายๆสำหรับคนที่ภาษาจีนไม่กระดิกอย่างพวกเรา อิอิ
ฟู้ดที่นี่เค้ามีกรรมวิธีการซื้อแบบนี้ค่ะ ก่อนอื่นเราก็ต้องไปเดินดูตามร้านว่าเราน่ะ อยากกินอะไร แล้วก็จำไว้ว่าไอ้จะกินน่ะรหัสอะไร หลังจากนั้นต้องเดินไปที่แคชเชียร์ค่ะ แล้วก็บอกรหัสแคชเชียร์ไป วิยายุทธบทที่ 1 ที่คุณต้องใช้ คือคุณต้องบอกเค้าให้ถูกเพราะเค้าจะพูดภาษาจีนใส่เราเท่านั้นทั้งๆที่หน้าเราก็ด้ำดำไท้ไทยออกจะปานนี้อ่ะนะ เมื่อพูดกับเค้าไม่รู้เรื่องเค้าก็จะยื่นปากกาให้คุณเขียนรหัสเองแหละค่ะ หมูหย็องใช้วิธีหลังค่ะ จดๆให้เค้าแล้วเค้าก็จดกลับมาว่าค่าอาหารเท่าไหร่ เราก็จ้ายเงินไป หลังจากนั้นคุณก้ไปนั่งรอค่ะ อาหารจานไหนเสร็จเค้าก็ประกาศออกไมค์เสียงดังฟังชัดค่ะ ชัดมากกกก แต่ฟังไม่รู้เรื่องตามเคยค่ะ แห่ะๆ หมูหย็องเลยใช้วิธีไปยืนรอหน้าร้านซะเลย ได้ผลค่ะ เราเห็นจานไหนคล้ายๆชุดที่เราสั่งไป เราก็รี่เข้าไปถามเลยค่ะว่าใช่ของเราเปล่าพร้อมกับยื่นใบเสร็จให้ดู อืมมมม กว่าจะได้กินมื้อแรกก็ยากเอาการแฮะ
เราสองคนกินด้วยกันในชุดเดียว ที่ได้มาทั้งข้าวหน้าแกงกะหรี่ ราเมนชามเล็กๆ มันบด แล้วก็โค้กอีกหนึ่งแก้ว เป็นอาหารมื้อที่ไม่ค่อยประทับใจนัก เลยกินแค่ให้พอประทังความหิวเท่านั้นเอง
ที่นิวเยาฮันนอกจากเราจะได้เจอกับเทศกาลเซลล์(รึเปล่าวะ) และได้กินอาหารแล้ว เรายังได้พบว่าแฟชั่นที่ฮิตมากของที่นี่ตอนนี้ก็คือ บู้ท บู้ท บู้ทเท่านั้นค่ะ ตั้งแต่สาวรุ่นยันสาวแก่ ก็ใส่บู้ท ทำเอาหมูแผ่นตะหงิดๆ คิดอยากจะซื้อบู้ทมาสวมเป็นเกือกสักคู่ แต่ก็เหมือนสวรรค์มาทรงโปรดเตือนหมูแผ่นว่า บู้ทมันใส่ได้เฉพาะที่นี่เท่านั้นนะจ๊ะ เอากลับมาใส่ที่บ้านเราคงเป็นที่โดดเด่น โดดเด้ง ไปตามระเบียบ คุณหมูแผ่นเลยไม่ได้บู้ทติดมือติดเท้ากลับมาด้วย
เอาล่ะ จุดหมายต่อไป และเป็นที่สุดท้ายสำหรับคืนนี้ก็คือ เซนาโด้สแควร์ ด้วยหวังว่าจะไปถ่ายแสงไฟยามค่ำคืนในแถบนั้นนั่นเอง เราขึ้นรถเมลล์จากหน้านิวเยาฮัน บนรถเมลล์หมูหย็องเหลือบไปเห็นสาวน้อยคนหนึ่งนั่งอ่านนิยายเป็นภาษาอังกฤษอยู่พอดี เลยหันไปถามน้องเค้าแบบโง่ๆว่าพูดภาษาอังกฤษได้มั้ยจ๊ะ น้องเค้าตอบไม่ลังเลเลยว่าได้แน่นอนสิจ๊ะคุณพี่ ไม่งั้นหนูจะอ่านนิยายรู้เรื่องหรอ(อันหลังนี่หมูหย็องเติมเองนะ)แล้วเราก็ถามว่าถ้าเราจะไปเซนาโด้นี่ควรจะลงป้ายไหน น้องเค้าบอกอย่างรวดเร็วพร้อมกับกดกริ่งให้เราเสร็จสรรพ โอ้ว น่ารักมากมาย ลงรถเมลล์เราก็เดินต่อไปนิดหน่อย เจอน้ำพุกะตึกเหลืองๆ ก้แน่ใจแล้วว่า ถึงแล้วเฟ้ย เซนาโด้ ฮุๆ
แล้วหมูหย็องก็เหลือบไปเห็นร้านบะหมี่ ที่คนในเวบหลายคนแนะนำ ก็เลยไม่รอช้ากะไปเติมกระเพาะให้เต็มกันที่ร้านนี้ น่าจะไม่ผิดหวังนะ
=== บะหมี่น้ำลูกชิ้นปลา ===
ร้านนี้อยู่ตรงข้ามแมคโดนัลด์ค่ะ หาไม่ยากเลย เดินผ่านน้ำพุเข้ามา ร้านจะอยู่ซ้ายมือ ตกแต่งสไตล์จีนโบราณ ได้บรรยากาศ และที่สำคัญมีเมนูแสดงถึงความโกอินเตอร์ของร้านเป็นภาษาจีนควบอังกฤษด้วยนะจะบอกให้ หน้าตาของบะหมี่ที่เอามาเสิร์ฟน่ากินมาก น้ำใสแต่หอมหวลชวนซด ลูกชิ้นปลาปั้นเป็นก้อนๆเหมือนไม่ตั้งใจ แต่เคี้ยวแล้วได้ความรู้สึกเหนียวหนึบๆของเนื้อปลา หมูหย็องลองคนๆดูในชามไม่มีผักมาให้เลยแฮะ เข้าใจว่าคงเป็นแบบนี้เหมือนกันทั้งทางฝั่งมาเก๊าและฮ่องกง ทุกอย่างโอเค เริ่ดมาก ตามที่บรรยายมานั่นแหละค่ะแต่ด้วยความที่เราเหนื่อยมากกก เลยทำให้กินไปได้ประมาณครึ่งชาม ก็ต้องหยุดกินซะแล้ว ต้องบอกหมูแผ่นไปว่า เดี๋ยวมาลองกินใหม่อีกรอบนะ วันนี้สงสัยจะเหนื่อยเกินไป เลยกินไม่ลง หมูแผ่นก็ได้แต่พยักหน้างึกๆๆ พร้อมกับบะหมี่ที่เหลืออยู่ครึ่งชามเหมือนกัน เลยเป็นที่รู้กันว่า เราสองคนมีอาการคล้ายๆกัน
อิ่มแล้วเราเดินถ่ายรูปแถวนั้นพักใหญ่ ขณะนั้นก็ราวสามทุ่มกว่าๆแต่ยังมีผู้คนให้เห็นเป็นกลุ่มๆ นั่งกันอย่างสบายอารมณ์ หมูหย็องเริ่มสัมผัสได้ถึงคำที่มีคนเคยพูดถึงมาเก๊าว่า เป็นเมืองที่ไม่มีวันหลับไหล ได้ก็ในวินาทีนั้นเอง
=== กรุณาอย่ามองที่เสาด้านล่างซ้ายค่ะ ไม่สุภาพ คริๆ ===
=== ร้านปิดเกือบหมดแล้ว แต่ไฟยังสว่างไสว คนก็ยังขวั่กไขว่ ===
สี่ทุ่มแล้ว เรี่ยวแรงก็ค่อยๆหมดลงไปตามการใช้งาน เราออกจากเซนาโด้แล้วเดินไปขึ้นรถเมลล์กลับโรงแรม
=== มุมยอดฮิต (ฮิตทั้งช่างภาพ และคนแถวๆนั้น) รูปสุดท้ายของวันแรก ===
สำหรับการเที่ยวมาเก๊าวันแรก ตั้งแต่เช้าตรู่ที่เมืองไทย ทุลักทุเลหลงทางไปถึงด่านกงเป่ย การเดินชิวๆรวมระยะทางได้เป็นสิบกม จนถึงการสั่งอาหารที่หลายขั้นตอนกว่าจะได้เอาอาหารเข้าปาก
พอจะสรุปหลักเล็กๆน้อยๆ ได้เป็นข้อๆสำหรับคนที่คิดจะไปเที่ยวเองแบบหมูหย็องได้ดังนี้ค่ะ
1.แอร์เอเชีย เปิดเคาเตอร์เช็คอินไฟล์แรกของวัน ช้าไปนิด ถ้าใครไปถึงสนามบินเร็วก็ไปหาอะไรทานก่อนได้ค่ะ แล้วก่อนบอร์ดดิ้งซักชมครึ่ง ค่อยเช็คอิน
2.จากเมืองไทยให้หาขนมอะไรก็ได้ติดใส่กระเป๋าไปด้วยนะจ๊ะ เพราะพอเราถึงที่โน่นแล้วหากผิดแผน ผิดเวลา แล้วเกิดหิวขึ้นมา จะได้กินขนมที่เราเตรียมไว้รองท้องไปก่อน ไม่ต้องทนหิวเหมือนหมูหย็องกะหมูแผ่น
3.คงเพราะอากาศเย็นพระอาทิตย์ที่มาเก๊าเลยตกไวกว่าบ้านเรา (ประมาณ 17.30น ฟ้าจะมืดแล้ว) ถ้าจะไปเที่ยวถ่ายภาพอย่างเดียวที่ Fisherman Warf ให้ออกมาสวยงาม อร่ามนภา ควรจะเลือกช่วงเวลาที่ฟ้ากำลังโพล้เพล้ ประมาณ 16.00 - 17.30น น่าจะเวิร์คสุดๆเลยล่ะ
4.Fisherman Warf กว้างมากถ้าหากอยากจะชมให้ครบถ้วน รวมถึงเข้าชมในส่วนต่างๆที่เป็นอินดอร์ควรจะมีเวลาให้ที่นี่ตั้งแต่ช่วงบ่ายจนถึงเย็น จะได้ไม่รีบเร่งจนเกินไปนะจ๊ะ หรือถ้าใครมีเวลาน้อยมากแค่ชั่วโมงเดียว หมูหย็องแนะนำว่าให้นั่งรถชมรอบๆ สะดวกและสบายที่สุดจ้ะ
5.ศึกษาเส้นทางรถเมลล์ให้ถี่ถ้วน ฝึกอ่านป้ายรถเมลล์ให้เป็น เพราะที่มาเก๊ารถเมลล์บางสายมันจะวิ่งแปลกๆ ทำเอาเราหลงทางได้ (แน่ะ โทษรถเมลล์ซะง้าน) รถเมลล์มีหลายสายและมาถี่ๆ ดังนั้นคุณไม่ต้องรีบขึ้น ให้ยืนเล็งไว้ก่อน เพราะเมื่อใดที่ขึ้นปุ๊บคุณก็ต้องหยอดเงินลงกระปุกปั๊บนะคะ
สำหรับวันแรกก็เอร็ดอร่อยไปตามประสาขามั่ว ตอนต่อไปจะเป็นเรื่องของวันที่สอง กับเกาะโคโลอานที่สุดแสนจะประทับใจและการเดินโต๋เต๋ๆที่ไทปาอีกแล้วคับท่าน อย่าลืมตามไปอ่านต่อนะจ๊ะ บั๋ย บัย
อ้อ ใครอ่านมาถึงบรรทัดนี้ ก็ตามธรรมเนียมนะคะ ช่วยเขียนเมนท์ให้นิดส์นึง จะได้มีกำลังจายกำลังกาย เขียนต่อไปน่ะ ทาเคชิ !
ขอบคุณล่วงหน้าจ้า
29 ธันวาคม 2550
มาเก๊า... วันแรกรัก (ตอนสอง)
เขียนโดย
หมูหย็อง
ที่
วันเสาร์, ธันวาคม 29, 2550
ป้ายกำกับ:
เดินทาง,
ถ่ายภาพ,
เที่ยว,
มาเก๊า,
macau,
photography
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น